in

5 ความเข้าใจผิดเรื่อง อุปกรณ์เซฟตี้ ที่อาจทำให้คุณพลาด!

ในงานอุตสาหกรรม งานช่าง หรืองานซ่อมแซมในชีวิตประจำวัน “อุปกรณ์เซฟตี้” ไม่ใช่เพียงแค่อุปกรณ์เสริม แต่คือปราการด่านแรกที่ช่วยลดความเสี่ยงจากอุบัติเหตุที่อาจเกิดขึ้นโดยไม่ทันตั้งตัว ทั้งไฟฟ้าช็อต เศษโลหะกระเด็น หรือสารเคมีรั่วไหล ซึ่งล้วนสามารถส่งผลรุนแรงถึงชีวิตได้

อย่างไรก็ตาม ปัญหาใหญ่ที่มักถูกมองข้ามคือ “ความเข้าใจผิด” เกี่ยวกับการเลือกและใช้ อุปกรณ์เซฟตี้ หลายคนใช้งานผิดวิธี หรือมองว่าไม่จำเป็น ซึ่งนั่นอาจกลายเป็นช่องโหว่ของระบบความปลอดภัยทั้งระบบ


1

ใส่ อุปกรณ์เซฟตี้ แค่บางชิ้นก็พอแล้ว

หลายคนมักเลือกใส่ อุปกรณ์เซฟตี้ เพียงบางชิ้น เช่น หมวกนิรภัยหรือรองเท้านิรภัย และมองข้าม อุปกรณ์อื่น ๆ เช่น ถุงมือ แว่นตา หรือหน้ากากกรองฝุ่น ด้วยความเข้าใจผิดว่า “ไม่จำเป็น” หรือ “งานไม่ได้อันตรายขนาดนั้น” โดยเฉพาะในงานที่ดูเหมือนไม่มีเครื่องจักรขนาดใหญ่หรือไม่มีประกายไฟ เช่น งานติดตั้งปลั๊ก งานเช็คสวิทช์ หรือการตรวจสอบสายไฟ ทั้งที่ในความเป็นจริง อุบัติเหตุส่วนใหญ่มักเกิดจากงานเล็ก ๆ ที่ดูไม่น่าจะอันตราย เพราะผู้ปฏิบัติงานมักผ่อนคลายและลดการระวังตัวลง

อันตรายสามารถเกิดได้จากหลายทิศทาง เช่น เศษเหล็กกระเด็นเข้าตา เศษไม้ทิ่มมือ หรือเสียงดังจนเกิดอาการหูอื้อ นอกจากนี้ยังมีความเสี่ยงจากไฟฟ้าสถิต แสงจ้า หรือสารเคมีที่ล่องลอยในอากาศ ซึ่งอาจทำให้เกิดการระคายเคืองหรือเจ็บป่วยสะสมได้ การสวมใส่ อุปกรณ์เซฟตี้ ไม่ครบจึงทำให้ร่างกายมีจุดเปราะบางที่เสี่ยงต่อการบาดเจ็บหรือโรคจากการทำงานโดยไม่รู้ตัว และส่งผลระยะยาวต่อสุขภาพโดยรวมหากละเลยซ้ำ ๆ

ควรสวม อุปกรณ์เซฟตี้ ให้ครบถ้วนตามประเภทงาน เช่น งานตัด งานเชื่อม งานไฟฟ้า หรืองานบนที่สูง ซึ่งมีข้อกำหนดแตกต่างกันในเรื่อง อุปกรณ์เซฟตี้ (PPE) ทั้งหมด เช่น งานเชื่อมจำเป็นต้องใส่หน้ากากเชื่อมที่มีเลนส์กรองแสงเฉพาะ งานตัดต้องใช้แว่นตากันสะเก็ดโลหะ และถุงมือที่กันของมีคม ส่วนงานไฟฟ้าควรใช้ถุงมือกันไฟฟ้าและหมวกนิรภัยแบบ Class E ซึ่งกันแรงดันไฟฟ้าได้ การเลือกใช้อย่างถูกต้องตามประเภทงานจะช่วยลดความเสี่ยงได้อย่างมีประสิทธิภาพ

อุปกรณ์เซฟตี้
อุปกรณ์เซฟตี้

2

คุณภาพและราคาของ อุปกรณ์เซฟตี้

บางคนเลือกใช้ อุปกรณ์เซฟตี้ ราคาถูกเพื่อลดต้นทุน โดยคิดว่า “ก็แค่กันเฉย ๆ” หรือใช้งานไม่นานก็ไม่จำเป็นต้องลงทุนซื้อของแพงหรือผ่านมาตรฐานสากล ความเชื่อนี้อาจมาจากการมองว่า อุปกรณ์เซฟตี้ เป็นเพียงของเสริม ไม่ใช่ของจำเป็นเท่ากับเครื่องมือหลัก เช่น สว่าน หรือเครื่องตัด แต่ในความเป็นจริง อุปกรณ์เซฟตี้ ที่ไม่มีมาตรฐานอาจไม่สามารถป้องกันอันตรายได้เลย และเสื่อมสภาพเร็ว จนกลายเป็นจุดเสี่ยงซ่อนเร้นในงาน

อุปกรณ์เซฟตี้ ราคาถูกที่ไม่ได้รับการรับรองมาตรฐาน อาจไม่สามารถรองรับแรงกระแทก ป้องกันไฟฟ้า หรือกันสารเคมีได้จริง วัสดุบางประเภทที่ใช้ในสินค้าราคาถูกมักมีคุณภาพต่ำ ไม่ทนต่อแรงบิด แรงอัด หรือการขีดข่วน และในหลายกรณีอาจลามไฟหรือละลายเมื่อสัมผัสความร้อนสูง อุปกรณ์เซฟตี้ เหล่านี้ยังเสื่อมสภาพเร็วเมื่อใช้งานหนัก เช่น ถุงมือฉีกขาดง่ายเมื่อโดนน้ำมัน แว่นตาเป็นฝ้าเมื่อเจอไอน้ำ ส่งผลให้เกิดอุบัติเหตุร้ายแรงโดยไม่ทันตั้งตัว

เลือกใช้ อุปกรณ์เซฟตี้ ที่มีเครื่องหมายรับรอง เช่น ANSI (มาตรฐานสหรัฐฯ), EN (ยุโรป), ASTM (สมาคมทดสอบวัสดุ), CE (ความสอดคล้องของยุโรป) หรือ มอก. (มาตรฐานผลิตภัณฑ์อุตสาหกรรมของไทย) เพื่อรับประกันว่า อุปกรณ์เซฟตี้ ผ่านการทดสอบด้านความปลอดภัยตามข้อกำหนดสากลแล้ว

นอกจากนี้ ควรตรวจสอบฉลากสินค้าให้แน่ใจว่ามีรายละเอียดรุ่น วันที่ผลิต และคำแนะนำการใช้งาน พร้อมทั้งตรวจสอบวัสดุที่ใช้ ว่าเป็นวัสดุที่ทนทานต่อสภาพการทำงานที่เกี่ยวข้อง เช่น กันไฟฟ้า กันความร้อน กันกระแทก หรือกันสารเคมี และศึกษาความเห็นจากผู้ใช้งานจริงในหน้างานเดียวกันเพื่อประกอบการตัดสินใจ


3

อายุของ อุปกรณ์เซฟตี้

หลายคนมองว่า อุปกรณ์เซฟตี้ เช่น หมวกนิรภัย หรือถุงมือ หากยังไม่ขาดหรือเสียหายก็ยังใช้งานได้ ไม่จำเป็นต้องเปลี่ยนใหม่ ซึ่งเป็นความเข้าใจผิดที่อันตราย เพราะ อุปกรณ์เซฟตี้ เหล่านี้มีอายุการใช้งานที่ถูกกำหนดไว้จากการทดสอบด้านวัสดุและสภาพแวดล้อม หากใช้งานเกินระยะเวลาที่แนะนำ แม้จะดูสภาพดีจากภายนอก แต่โครงสร้างภายในอาจเสื่อมสภาพจนไม่สามารถให้การป้องกันได้เต็มที่ เช่น พลาสติกของหมวกที่กรอบแตกง่ายขึ้น หรือถุงมือยางที่เปราะจนเป็นรอยรั่วได้โดยไม่รู้ตัว

อุปกรณ์เซฟตี้ มีอายุการใช้งานที่ควรปฏิบัติตามอย่างเคร่งครัด เช่น หมวกนิรภัยควรเปลี่ยนทุก 2-5 ปี โดยเฉพาะหากมีการใช้งานในพื้นที่กลางแจ้งที่โดนแดดจัดเป็นเวลานาน เพราะรังสี UV จะเร่งการเสื่อมสภาพของพลาสติก ถุงมือกันไฟฟ้ามีอายุใช้งานหลังเปิดไม่เกิน 6 เดือน และควรเปลี่ยนทันทีหากมีรอยรั่วหรือเปราะบาง นอกจากนี้ วัสดุอย่างพลาสติกหรือยางสามารถเสื่อมคุณสมบัติโดยที่มองไม่เห็น เช่น การสูญเสียความยืดหยุ่น การเปลี่ยนสี หรือกลายเป็นผง ซึ่งอาจลดความสามารถในการป้องกันอันตรายลงอย่างมาก

ตรวจสอบวันผลิตและอายุการใช้งานที่ระบุไว้บนตัวอุปกรณ์อย่างสม่ำเสมอ โดยเฉพาะในกรณีที่ใช้งานในสภาพแวดล้อมที่รุนแรง เช่น ความชื้นสูง ความร้อนจัด หรือบริเวณที่มีแสงแดดจ้าเป็นประจำ ซึ่งสามารถเร่งการเสื่อมสภาพได้เร็วกว่าปกติ หากพบว่าเกินกำหนดหรือมีร่องรอยผิดปกติ เช่น รอยแตก รอยขีดลึก หรือการเปลี่ยนสี ควรเปลี่ยนใหม่ทันทีเพื่อป้องกันความเสี่ยงที่อาจตามม


4

ใช้งานเหมือนกัน แทนกันได้

หลายคนเลือกใช้ อุปกรณ์เซฟตี้ ผิดประเภท เช่น ใช้ถุงมือผ้าธรรมดาแทนถุงมือกันไฟฟ้า หรือใช้แว่นใส่กันลมแทนแว่นตากันสะเก็ด เพราะเข้าใจว่าให้ผลเหมือนกัน ทั้งที่อุปกรณ์แต่ละชนิดมีคุณสมบัติทางเทคนิคที่แตกต่างกันอย่างชัดเจน เช่น ถุงมือกันไฟฟ้าต้องผ่านการทดสอบแรงดันไฟฟ้าและผลิตจากยางฉนวนเฉพาะ ไม่ใช่แค่ป้องกันการบาดเจ็บทางกายภาพเท่านั้น หรือแว่นตากันสะเก็ดต้องมีเลนส์ที่ผ่านมาตรฐานแรงกระแทก ไม่ใช่เพียงเลนส์ใสปกติที่ไม่สามารถทนต่อแรงจากเศษเหล็กหรือสะเก็ดไฟได้เลย

อุปกรณ์เซฟตี้ แต่ละชนิดออกแบบมาเพื่อป้องกันอันตรายเฉพาะทาง เช่น ถุงมือกันไฟฟ้าทำจากยางที่ผ่านการทดสอบแรงดันไฟฟ้า ซึ่งสามารถต้านกระแสไฟฟ้าได้หลายพันโวลต์ ส่วนถุงมือหนังหรือผ้าทั่วไปอาจซึมซับความชื้นและนำไฟฟ้าได้ หน้ากากกรองฝุ่นละเอียดจะติดตั้งฟิลเตอร์ที่สามารถกรองอนุภาคขนาดเล็กระดับไมครอนได้ เช่น PM2.5 หรือฝุ่นจากงานเจียร ขณะที่หน้ากากกันกลิ่นธรรมดาเพียงช่วยลดกลิ่น แต่ไม่สามารถป้องกันสารเคมีหรือฝุ่นละอองที่ลอยอยู่ในอากาศได้อย่างแท้จริง การใช้ผิดประเภทจึงเสี่ยงต่อการได้รับอันตรายโดยไม่รู้ตัว

เลือกใช้ อุปกรณ์เซฟตี้ ให้ตรงกับลักษณะของงาน เช่น งานไฟฟ้าต้องเลือกถุงมือที่ผ่านการทดสอบแรงดันไฟฟ้า และรองเท้าที่มีคุณสมบัติกันไฟฟ้า งานเชื่อมควรเลือกแว่นเชื่อมที่มีระดับความเข้มของเลนส์ที่เหมาะสมกับชนิดของแสงและระยะเวลาทำงาน ตรวจสอบระดับการป้องกันที่ต้องการจากข้อมูลจำเพาะของอุปกรณ์ เช่น ระดับ EN หรือ ANSI ที่รองรับ และควรสอบถามผู้เชี่ยวชาญหรือตัวแทนจำหน่ายหากไม่แน่ใจ เพื่อป้องกันการเลือกใช้ผิดประเภท

อุปกรณ์เซฟตี้

5

อุปกรณ์เซฟตี้ คือเรื่องส่วนตัว ใส่หรือไม่ก็แล้วแต่

มีผู้ปฏิบัติงานบางรายคิดว่า “การใส่หรือไม่ใส่ อุปกรณ์เซฟตี้ เป็นเรื่องของตัวเอง โดยเฉพาะในไซต์งานขนาดเล็ก หรือธุรกิจครอบครัวที่ไม่มีการควบคุมเข้มงวด หรือในบางกรณีที่ทำงานเพียงคนเดียวและมองว่าไม่มีใครได้รับผลกระทบโดยตรง ความคิดเช่นนี้เสี่ยงมาก เพราะความประมาทแม้เพียงเล็กน้อยอาจนำไปสู่อุบัติเหตุร้ายแรงที่ไม่เพียงแต่ส่งผลต่อตนเอง แต่ยังส่งผลกระทบต่อคนรอบข้าง ครอบครัว และระบบการทำงานโดยรวม

อุบัติเหตุที่เกิดขึ้นจากการไม่ใช้ อุปกรณ์เซฟตี้ ไม่ได้กระทบแค่ตัวบุคคลเท่านั้น แต่ยังส่งผลกระทบถึงทีมงาน บริษัท หรือแม้แต่ภาพลักษณ์ขององค์กรโดยรวม หากเกิดกรณีร้ายแรงอาจต้องเสียค่าชดเชย เสียชื่อเสียง หรือกระทบต่อใบอนุญาตประกอบวิชาชีพ รวมถึงอาจถูกตรวจสอบจากหน่วยงานกำกับดูแลด้านความปลอดภัยและแรงงาน ถูกระงับโครงการ หรือสูญเสียความเชื่อมั่นจากลูกค้าและคู่ค้าทางธุรกิจ ซึ่งความเสียหายที่เกิดขึ้นอาจไม่ใช่แค่ทางการเงิน แต่ยังหมายถึงความยั่งยืนขององค์กรในระยะยาวด้วย

ควรสร้างวัฒนธรรมความปลอดภัยในองค์กร ตั้งแต่ผู้บริหารถึงพนักงานทุกระดับ โดยกำหนดให้ความปลอดภัยเป็นหนึ่งในค่านิยมหลักขององค์กร ไม่ใช่เพียงแค่ข้อกำหนดตามกฎหมายเท่านั้น ต้องมีการปลูกฝังความรู้ผ่านกิจกรรมภายใน เช่น การประชุมสั้นก่อนเริ่มงาน (Toolbox Talk), การจัดอบรมจำลองสถานการณ์เสี่ยง และการให้รางวัลกับพนักงานที่ปฏิบัติตามมาตรการอย่างสม่ำเสมอ พร้อมทั้งควบคุมให้มีการใช้ อุปกรณ์เซฟตี้ อย่างเคร่งครัด และมีการตรวจสอบภาคสนามเป็นประจำ เพื่อสร้างนิสัยที่หยั่งรากลึกและลดความประมาทในการทำงาน

สรุป

อุปกรณ์เซฟตี้ ไม่ใช่เพียงแค่เครื่องแต่งกายเสริมในงานช่าง แต่คือ “เกราะป้องกันชีวิต” ที่ทุกคนควรให้ความสำคัญ ความเข้าใจผิดเพียงเล็กน้อย อาจนำไปสู่ผลลัพธ์ที่ไม่สามารถย้อนกลับได้

หากคุณหรือองค์กรของคุณยังมีความเข้าใจผิดใน 5 ข้อนี้ ถึงเวลาแล้วที่จะเปลี่ยนมุมมองและเริ่มต้นสร้างวัฒนธรรมความปลอดภัยให้แข็งแรงตั้งแต่วันนี้ เพราะอุบัติเหตุไม่เคยเตือนล่วงหน้า และความปลอดภัยเริ่มต้นจากความรู้และวินัยของทุกคน

What do you think?

Comments

Comments

Loading…

0

Written by TiTlECNx

อย่าหยุดตอนที่คุณเหนื่อย..จะหยุดเมื่อคุณทำสำเร็จแล้ว

แบตเตอรี่โซล่าเซลล์

ทำไม แบตเตอรี่โซล่าเซลล์ ถึงเสื่อมเร็ว? รวมพฤติกรรมที่ควรเลี่ยงก่อนระบบพังไม่รู้ตัว

ลูกกลิ้งทาสี

7 ปัญหาที่มักเจอเวลาใช้ ลูกกลิ้งทาสี และวิธีแก้ไขแบบมืออาชีพ